👏การจัดองค์การ👏
💬แนวคิด (Main
Idea)
องค์การเป็นศูนย์รวมของกลุ่มบุคคลที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นองค์การประเภทใดล้วนต้องอาศัยทรัพยากรบุคคลทุกระดับที่มีความรู้ความสามารถและมีความเข้าใจในองค์การนั้นอย่างชัดเจนที่สุดทั้งการจัดองค์การ
กระบวนการจัดองค์การเข้าใจในโครงสร้าง การจัดแผนกงาน
และสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้องค์การบรรลุวัตถุประสงค์ คือ
การรู้จักและเข้าใจในอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ
ปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังที่ได้รับมอบหมายงาน
ผู้บริหารก็ต้องมีความสามารถและความเข้าใจในการมอบหมายงานเป็นอย่างดี
💬สมรรถนะย่อย (Element of Competency)
1. แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการจัดการองค์การ
2. วางแผนการจัดการองค์การตามหลักการ
💬ความหมายของการจัดองค์การ
องค์การ
คือกลุ่มบุคคลแต่เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างใหญ่และมีลักษณะเฉพาะที่มีจุดมุ่งหมายในการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยกลุ่มบุคคลนี้จะมีสิ่งยึดเหนี่ยวร่วมกันและร่วมแรงรวมใจกันทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
องค์การจึงมีลักษณะดังนี้
1. องค์การเป็นรูปแบบของการรวมบุคคล
2. มีความสัมพันธ์ที่จะทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกัน
3. มีการแบ่งงาน
จัดสรรหน้าที่ให้สมาชิกในองค์การ
4. มีโครงสร้างขององค์การในลักษณะของการบังคับบัญชา
5. มีการยอมรับในสังคม
ตามระเบียบแบนแผน ประเพณี หรือกฎหมาย
รูปที่ 1.1 กลุ่มบุคคลในองค์การ
💬ทฤษฎีองค์การ
ทฤษฎีองค์การอาจแบ่งได้ 3 ทฤษฎี คือ
💬ทฤษฎีดั้งเดิม (Classical
Organization Theory)
แนวความคิดทฤษฎีดั้งเดิมวิวัฒนาการจากการปกครองแบบทหาร
จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ได้นักบริหารสร้างรูปแบบการบริหารในระบบราชการขึ้น
คือ แมค วีเบอร์ และสร้างรูปแบบการบริหารโดยใช้การจัดการทางวิทยาศาสตร์ คือ
เฟรดเดอริค เทย์เลอร์ ทฤษฎีนี้มีหลักการว่า “ คนเป็นเครื่องมือที่ทำให้องค์การไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางได้” ซึ่งจะได้กล่าวรายละเอียดต่อไปนี้
💬การจัดองค์การแบบราชการ ( Bureaucracy ) ของ
แมค วีเบอร์ ( Max Weber ) ได้เน้นให้เห็นถึงการจัดโครงการที่เป็นระเบียบ
สาระสำคัญที่ แมค วีเบอร์ ได้เน้นคือ องค์การแบบราชการในอุดมคตินั้น
จะต้องประกอบด้วย
(1) จะต้องมีการแบ่งงานกันทำ โดยให้แต่ละคนปฏิบัติงานในสาขาที่ตนมีความชำนาญ
(2) การยึดถืองานให้ยึดถือกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยโดยเคร่งครัด
เพื่อที่จะให้ได้มาตรฐานของงานเท่าเทียมกัน
การยึดถือกฎเกณฑ์นี้จะช่วยขจัดพฤติกรรมที่บุคลแตกต่างกันสามารถมาประสานกันได้
(3) สายการบังคับบัญชาต้องชัดเจน
โดยผู้บังคับบัญชามอบหมายอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบลดหลั่นกันลงไป
(4) บุคคลในองค์การต้องไม่คำนึกถึงความสัมพันธ์ส่วนบุคคล
โดยพยายามทำงานให้ดีที่สุดเพื่อเป้าหมายขององค์การ
(5)
การคัดเลือกบุคคล การว่าจ้าง ให้ขึ้นอยู่กับความสามารถ
และการเลื่อนตำแหน่งให้คำนึงถึงการประสบความสำเร็จในการงานและอาวุโสด้วย
จุดอ่อนขององค์การแบบราชการก็คือ
การเน้นที่องค์การโดยละเลยการพิจารณาถึงปัญหาของคน
และเชื่อว่าการที่มีโครงสร้างที่รัดกุมแน่นอนจะช่วยให้บุคคลปรับพฤติกรรมให้เป็นไปตามความต้องการขององค์การได้
💬การจัดองค์การแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ของ เฟรดเดอริค เทย์เลอร์
(FcedericTaylor)เป็นการจัดองค์การแบบนำเอาวิธีการศึกษาวิทยาศาสตร์มาวิเคราะห์และแก้ปัญหาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์การให้ดีขึ้นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้เริ่มจากการหาความสัมพันธ์ระหว่างงานและคนงานโดยการใช้การทดลอง
เป็นเกณฑ์เพื่อหามาตรการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดโดยที่คนงานจะถูกพิจารณาว่าต้องการทำงานเพื่อเศรษฐกิจด้านเดียว
โดยละเลยการศึกษาถึงแรงจูงใจ อารมณ์ และความต้องการในสังคมของกลุ่มคนงาน
เพราะเชื่อว่าเงินตัวเดียวจะล่อใจให้คนทำงานได้ดีที่สุด
💬ทฤษฎีสมัยใหม่ ( Neo-Classical
Organization Theory )
ทฤษฎีสมัยใหม่เป็นทฤษฎีที่พัฒนามาจากดั้งเดิม ทฤษฎีนี้มีหลักการว่า “ คนเป็นปัจจัยสำคัญและมีอิทธิพลต่อการเพิ่มผลผลิตขององค์การ”โดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของคนที่ทำหน้าที่ร่วมกันในองค์การถือว่าองค์การประกอบไปด้วยบุคคลซึ่งทำงานโดยมีเป้าหมายร่วมกันและกลุ่มคนงานจะเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดผลผลิตด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นปัจจัยที่สำคัญและมีอิทธิพลต่อการกำหนดการผลิต
กล่าวโดยสรุปว่าทฤษฎีนี้ได้เน้นเรื่องมนุษยสัมพันธ์โดยได้มีการศึกษาและค้นพบว่าบุคคลแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน
ขวัญในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ
การเข้ามีส่วนร่วมในกิจกรรมและการตัดสินใจระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายคนงานย่อมจะสร้างความพึ่งพอใจให้กับทุกฝ่ายโดยได้สร้างผลผลิตอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้ทฤษฎีที่มีส่วนสำคัญมากต่อกระบวนการมนุษยสัมพันธ์ได้แก่
ทฤษฎีของ เอลตัน เมโย ( Elton Mayo) ซึ่งได้ทำการทดลองวิจัยและค้นพบว่าขวัญของคนงานมีความสำคัญต่อการเพิ่มผลผลิตกลุ่มคนงานจะพยายามสร้างปทัสถานของกลุ่มตน
และคนงานจะทำงานเป็นทีมโดยมีการกำหนดมาตรฐานของกลุ่มขึ้นเอง
💬ทฤษฎีสมัยปัจจุบัน ( Modern
Organization Theory )
ทฤษฎีนี้กล่าวว่าเป็นการศึกษารูปแบบขององค์การในปัจจุบันโดยเน้นที่การวิเคราะห์องค์การในเชิงระบบ
(Systems Analysis of Organization) กล่าวคือ
นักทฤษฎีได้พิจารณาองค์การในลักษณะที่เป็นส่วนรวมทั้งหมด
ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ที่อยู่ภายในองค์การ
การศึกษาว่าองค์การเป็นระบบหนึ่งๆ นั้นได้คำนึงถึงองค์ประกอบภายในองค์การทุกส่วน
ได้แก่ ตัวป้อน กระบวนการ ผลผลิต ผลกระทบ และสิ่งแวดล้อม ( Input,
Process, Output, Feedback, and Environment ) การศึกษาองค์การในรูประบบนั้นได้พยายามที่จะมององค์การในลักษณะการเคลื่อนไหว(Dynamic)
และปรับเข้ากับรูปแบบองค์การได้ในทุกสภาวะแวดล้อม
ทั้งนี้เพราะนักทฤษฎีปัจจุบันได้มององค์การในลักษณะกระบวนการทางด้านโครงสร้างที่บุคคลต่างๆ
จะต้องเกี่ยวพันซึ่งกันและกันเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ
จึงมีการศึกษาพฤติกรรมองค์การในลักษณะใหม่ๆ เช่น พฤติกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์
การบริการแบบมีส่วนร่วม การพัฒนาองค์การ คิว.ซี. และการบริหารแบบอนาคตนิยม เป็นต้น
💬ประเภทขององค์การ
(Types of Organization)
ในการแบ่งประเภทขององค์การนั้น
ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายขององค์การว่าเป็นอย่างไร
ซึ่งมีลักษณะการดำเนินงานที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งประเภทขององค์การได้ดังนี้
💬การแบ่งองค์การตามความต้องการของบุคคล
1.องค์การเบื้องต้น (Primary Organization)
เป็นองค์การที่สมาชิกมีความรู้สึก
สนิทสนมกันดี
มีลักษณะเป็นครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูง มีลักษณะที่ค่อนข้างไม่มีพิธีรีตอง
มีจุดมุ่งหมายเน้นไปที่ความสนุกสนา
2. องค์การทุติยภูมิ
(Secondary Organization) เป็นองค์การที่กำหนดบทบาทและหน้าที่ของสมาชิกในองค์การ
มีความสัมพันธ์ไม่แน่นแฟ้ม เป็นไปในลักษณะชั่วคราว มีลักษณะเป็น โรงงาน ร้านค้า
สมาคม สโมสร เป็นต้น
การจำแนกองค์การโดยยึดโดยยึดโครงสร้าง แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
1. องค์การแบบเป็นทางการ (Formal Organization เป็นองค์การที่มีการจัดโครงสร้างอย่างเป็นระเบียบแบบแผนแน่นอน
การจัดตั้งมีกฎหมายรองรับ บางแห่งเรียกว่า องค์การรูปนัย ได้แก่ บริษัทมูลนิธิ
หน่วยราชการ กรม โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ
ซึ่งการศึกษาเรื่ององค์การและการจัดการจะเป็นการศึกษาในเรื่องขององค์การประเภทนี้ทั้งสิ้น
2. องค์การแบบไม่เป็นทางการ (Informal
Organization) เป็นองค์การที่รวมกันหรือจัดตั้งขึ้นด้วยความพึ่งพอใจและความสัมพันธ์กันเป็นส่วนตัวไม่มีการจัดระเบียบโครงสร้างภายในมีการรวมตัวกันอย่างง่ายๆ
และเลิกล้มได้ง่าย องค์การแบบนี้เรียกว่า องค์การอรูปนัยหรือองค์การนอกแบบ เช่น
ชมรมต่างๆ หรือกลุ่มต่างๆอาจเป็นการรวมกลุ่มกันด้วยความสมัครใจของสมาชิกกลุ่ม
ซึ่งเนื่องมาจากรายได้ อาชีพ รสนิยม ศาสนา ประเพณี ตำแหน่งงาน ฯลฯ
💬 การแบ่งองค์การตามจุดมุ่งหมายขององค์การ
1. องค์การที่แสวงหาผลประโยชน์ (Profit
Organization) เป็นองค์การที่มุ่งทางการค้าการแสวงหาผลกำไรเข้าองค์การ
หรือเข้ากลุ่มสมาชิก เป็นลักษณะรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้า ร้านค้า สำนักงาน
เป็นต้น
2. องค์การที่แสวงหาผลประโยชน์ (Non-
Profit Organization) เป็นองค์การที่ให้บริการเพื่อสังคม
เพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น สมาคมการกุศลต่างๆ สมาคมศิษย์เก่า มูลนิธิ เป็นต้น
💬หลักการจัดองค์การ
หลักการจัดองค์การ OSCAR ของเฮนรี
ฟาโยล (Henri Fayol) มาจากคำภาษาอังกฤษ 5 คำ คือ Objective, Specialization, Coordination, Authority และ Responsibility ซึ่งฟาโยลได้เขียนหลักของการจัดองค์การไว้
5 ข้อ เมื่อนำตัวอักษรตัวแรกของคำทั้ง 5 มาเรียงต่อกันจะทำให้สะกดได้คำว่า OSCAR สำหรับรายระเอียดทั้ง
5 คำ จะขอกล่าวไว้ใน “หลักในการจัดองค์การที่ดี”
หลักในการจัดองค์การที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบและแนวปฏิบัติดังต่อไปนี้
💬หลักวัตถุประสงค์
(Objective)
หลักวัตถุประสงค์ กล่าวว่า
องค์การต้องมีวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน
นอกจากนั้นการดำรงตำแหน่งยังต้องมีวัตถุประสงค์ย่อยกำหนดไว้เพื่อว่าบุคคลจะได้พยายามบรรลุวัตถุประสงค์ย่อยซึ่งช่วยให้องค์การบรรลุวัตถุประสงค์รวม
💬หลักความรู้ความสามารถเฉพาะอย่าง (Specialization)
หลักความรู้ความสามารถเฉพาะอย่าง
กล่าวว่า
การจัดแบ่งงานควรจะแบ่งตามความถนัดพนักงานควรจะมอบรับมอบหน้าที่เฉพาะเพียงอย่างเดียวและงานหน้าที่ที่คล้ายกันหรือสัมพันธ์กันควรจะต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคนคนเดียว
💬 หลักการประสานงาน (Coordination)
หลักการประสานงาน กล่าวว่า การประสานงานกัน คือ
การหาทางทำให้ทุกๆ ฝ่ายร่วมมือกันและทำงานสอดคล้องกัน โดยใช้หลักสามัคคีธรรม
เพื่อประโยชน์ขององค์การ
💬หลักของอำนาจหน้าที่ (Authority)
หลักของอำนาจหน้าที่ กล่าวว่า
ทุกองค์การต้องมีอำนาจสูงสุด
จากบุคคลผู้มีอำนาจสูงสุดนี้จะมีการแยกอำนาจออกเป็นสายไปยังบุคคลทุกๆ
คนในองค์การ หลักนี้ เรียกว่า หลักความลดหลั่นของอำนาจ
(Scalar
Principle) หรือเรียกว่า สายการบังคับบัญชา (Chain of
Command) การกำหนดสายการบังคับบัญชานี้ก็เป็นวิธีประสานงานอย่างหนึ่ง
💬หลักความรับผิดชอบ (Responsibility)
หลักความรับผิดชอบ กล่าวว่า
อำนาจหน้าที่ควรจะเท่ากับความรับผิดชอบ คือ
บุคคลใดเมื่อได้รับมอบหมายความรับผิดชอบก็ควรจะได้รับมอบหมายอำนาจให้เพียงพอ
เพื่อทำงานให้สำเร็จด้วยดี
💬หลักความสมดุล (Balance)
หลักความสมดุลจะต้องมอบหมายให้หน่วยงานย่อยทำงานให้สมดุลกัน
กล่าวคือ ปริมาณงานควรจะมีปริมาณที่ใกล้เคียงกัน
รวมทั้งความสมดุลระหว่างงานกับอำนาจหน้าที่ที่มอบหมายด้วย
💬หลักความต่อเนื่อง (Continuity)
หลักความต่อเนื่อง
ในการจัดองค์การเพื่อการบริหารงานควรจะเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องไม่ใช่ขาดความจริงจังหรือไม่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงาน
หากเป็นบริษัทหรือห้างร้านจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ
💬หลักการโต้ตอบและการติดต่อ (Correspondence)
หลักการโต้ตอบและการติดต่อ
ตำแหน่งทุกตำแหน่งจะต้องมีการโต้ตอบระหว่างกันและติดต่อสื่อสารกัน
องค์การจะต้องอำนวยความสะดวก จัดให้มีเครื่องมือและการติดต่อสื่อสารที่เป็นระบบ
รูปที่ 1.2
การติดต่อสื่อสารในองค์การ
💬หลักขอบเขตของการควบคุม
(Span of control)
หลักขอบเขตของการควบคุมเป็นการกำหนดขีดความสามารถในการบังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาคนหนึ่งๆ
ว่าควรจะควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาหรือจำนวนหน่วยงานย่อยไม่มากเกินไปโดยหัวหน้าปกติ
1 คนมีขอบเขตในการรับผิดชอบไม่เกิน 6 หน่วยงาน
💬หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา (Uni
หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา ในการจัดองค์การที่ดี
ผู้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานควรมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
เพื่อให้เกิดเอกภาพในการบังคับบัญชาจึงถือหลักการว่า “One Man One
Boss”
💬หลักตามลำดับขั้น (Ordering)
หลักตามลำดับขั้น
ในการที่นักบริหารหรือหัวหน้าจะออกคำสั่งแก่ผู้ใช้ใต้บังคับบัญชา ควรปฏิบัติการตามลำดับขั้นของสายการบังคับบัญชาไม่ควรออกคำสั่งข้ามหน้าผู้บังคับบัญชาหรือผู้ที่มีความรับผิดชอบโดยตรง
💬 หลักการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง (Promotion)
หลักการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง
ผู้บังคับบัญชาโดยตรงย่อมทราบพฤติกรรมในการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาได้ดีกว่าผู้อื่นดังนั้นการพิจารณาให้คุณและโทษแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ใดก็ควรให้ผู้นั้นทราบและมีสิทธิมีเสียงในการพิจารณาด้วยเพี่อความเป็นธรรมแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
และเพื่อเป็นการเสริมสร้างขวัญในการทำงานของบุคคลในองค์การด้วย
💬กระบวนการจัดองค์การ
(Process of Organizing)
กระบวนการจัดองค์การประกอบด้วยกระบวนการ 3 ขั้น
ดังนี้
💬พิจารณาการแยกประเภทงาน จัดกลุ่มงาน และออกแบบงานสำหรับผู้ทำงานแต่ละคน (Identification
of Work & Grouping Work)
ก่อนอื่นผู้บริหารจะต้องพิจารณาตรวจสอบแยกประเภทดูว่า
กิจการของตนนั้นมีงานอะไรบ้างที่จะต้องจัดทำเพื่อให้กิจการได้รับผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ขั้นต่อมาก็คือการจัดกลุ่มงานหรือจำแนกประเภทงานออกเป็นประเภท
โดยมีหลักที่ว่างานที่เหมือนกันควรร่วมอยู่ด้วยกัน
เพื่อให้เป็นไปตามหลักการของการแบ่งงานกันทำ
โดยการจัดจำแนกงานตามหน้าที่แต่ละชนิดออกเป็นกลุ่มๆ
ตามความถนัดและตามความสามารถของผู้ที่จะปฏิบัติ
💬ทำคำบรรยายลักษณะงาน (Job Description & Delegation of
Authority & Responsibility)
ทำคำบรรยายลักษณะงานระบุขอบเขตของงานและมอบหมายงาน
พร้อมทั้งกำหนดความรับผิดชอบ และให้อำนาจหน้าที่ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ระบุให้เห็นถึงขอบเขตของงานที่แบ่งให้สำหรับแต่ละคนตามที่ได้วางแผน (Pan)
ไว้ในขั้นแรกเพื่อให้ทราบว่า งานแต่ละชิ้นที่ได้แบ่งไว้นั้นจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร
ชนิดไหน มีขอบเขตและปริมาณมากน้อยแค่ไหน
โดยการระบุชื่อเป็นตำแหน่งพร้อมกับให้รายละเอียดเกี่ยวกับงานชิ้นนั้นเอาไว้
ขั้นต่อมา ผู้บริหารก็จะดำเนินการพิจารณามอบหมาย (Delegation) ให้แก่ผู้ทำงานในระดับรองลงไป (สำหรับงานที่มอบหมายได้)
การมอบหมายงานประกอบด้วยการกำหนดความรับผิดชอบ (Responsibility) ที่ชัดแจ้งเกี่ยวกับงานที่มอบหมายให้ทำพร้อมกันนั้นก็มอบหมายอำนาจหน้าที่
(Authority) ให้เพื่อใช้สำหรับการทำงานตามความรับผิดชอบ (Responsibility) ที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้นไปได้
💬จัดวางความสัมพันธ์ (Establishment of Relationship)
การจัดวางความสัมพันธ์จะทำให้ทราบว่า ใครต้องรายงานต่อใคร เพื่อให้งานส่วนต่างๆ
ดำเนินไปโดยปราศจากข้อขัดแย้งมีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระเบียบเพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันทำงานมุ่งไปสู่จุดหมายอันเดียวกัน
💬การจัดโครงสร้างขององค์การ
(Organization Structure)
การจัดโครงสร้างขององค์การมีหลายแบบ
ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน
ฉะนั้นการที่ผู้บริหารจะวางแนวทางในการจัดโครงสร้างนั้น
อาจจะต้องพิจารณาจากหลายๆ ปัจจัยด้วยกัน
อย่างไรก็ตามการจัดโครงสร้างขององค์การสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 5
ประเภท ดังนี้
💬โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การทำงาน
(Functional Organization Structure)
โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน หมายถึง
โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การทำงาน
เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้างซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้นๆทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้นๆให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
สำหรับฝ่ายบริหารระดับสูงนั้นก็เป็นเพียงแต่กำหนดนโยบายไว้กว้างๆ
เพราะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยป้อนข้อมูลที่ถูกต้องให้พิจารณาตัดสินใจและให้มีความผิดพลาดได้น้อยมากอีกประการหนึ่งในแต่ละแผนกนั้นเมื่อทุกคนมีความเชี่ยวชาญงานในหน้าที่ชนิดเดียวกันย่อมก่อให้เกิดการประสานงานได้ง่ายเนื่องจากแต่ละคนมีความสนใจในงานและใช้ภาษาเดียวกันทำให้สามารถสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีได้ง่ายและการบริหารงานก่อเกิดความประหยัดด้วยอย่างไรก็ตามการจัดรูปแบบองค์การแบบนี้มีผลเสียในทางการบริหารหลายประการ
อาทิเช่น การแบ่งงานออกเป็นหลายแผนกและมีผู้เชี่ยวชาญหลายคน
ทำให้การวางแผนยุ้งยากขึ้น อาจมีการปัดความรับผิดชอบได้
นอกจากนั้นการจัดองค์การรูปแบบนี้มักเน้นที่การรวมอำนาจไว้ ณ จุดที่สูงที่สุด
ไม่มีการกระจายอำนาจในการบริหารให้ลดหลั่นลงไป
รูปที่ 1.3
โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน
💬โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก
(Line Organization Structure)
โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก หมายถึง
การจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก
และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหลั่นเป็นขั้นๆจะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงานซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่างๆ
ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้การจัดองค์การแบบนี้อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง
เช่น แบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือแบ่งตามอาณาเขต หรือแบ่งตามประเภทลูกค้า
หรือแบ่งตามกระบวนการ ผลดีของโครงสร้างแบบนี้ คือ การจัดโครงสร้างด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย
การบังคับบัญชาตามสายงานเป็นขั้นตอน
ฉะนั้นจุดใดที่มีการปฏิบัติงานล่าช้าก็สามารถตรวจสอบได้รวดเร็ว
จากผู้บังคับบัญชาในระดับนั้นได้ง่าย
ผู้ปฏิบัติงานได้คลุกคลีกับสภาพของปัญหาที่เป็นจริงและเกิดขึ้นเสมอ
ทำให้การตัดสินใจต่างๆ
มีข้อมูลที่แน่นอนและสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องรวดเร็วซึ่งส่งผลสะท้อนให้มีการปกครองบังคับบัญชาที่อยู่ในระเบียบวินัยได้ดี
การติดต่อสื่อสารและการควบคุมการทำงานทำได้ง่าย ประการสุดท้าย
องค์การนี้เหมาะสำหรับการจัดรูปแบบองค์การขนาดเล็กแต่ไม่เหมาะที่จะจัดในลักษณะองค์การขนาดใหญ่ที่มีการปฏิบัติงานสลับซับซ้อน
ส่วนข้อเสีย ประการแรกไม่ได้สนับสนุนให้ผู้ทำงานมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
ปริมาณของงานมีมาก จนต้องใช้เวลาทำงานประจำให้เสร็จ
ไม่มีเวลาที่จะมาศึกษาถึงระบบการทำงานที่ดีกว่า และอีกประการ คือ
ผู้บริหารระดับสูงอาจจะไม่ยอมมอบหมายงานให้ผู้บริหารระดับรองๆ ลงมา
ทำให้ขวัญของผู้ปฏิบัติงานในระดับรองๆ ไม่ดี หมดกำลังใจในการปฏิบัติงาน
เนื่องจากโครงสร้างแบบนี้ให้อำนาจควบคุมโดยตรงต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงเท่านั้น
รูปที่
1.4 โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก
💬โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา
(Staff Organization Structure)
โครงสร้างองค์การคณะที่ปรึกษา หมายถึง
การจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายกฯ
ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น
เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้าน
โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น
อย่างไรก็ตาม พวกที่ปรึกษาไม่มีอำนาจในการสั่งการใดๆ
นอกจากคอยป้อนข้อมูลให้ผู้บริหารเป็นผู้ชี้ขาดอีกชั้นหนึ่ง
ซึ่งการจัดองค์การรูปแบบนี้มีผลดี คือ ทำให้การดำเนินงานต่างๆ
มีการวางแผนและประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้มีที่ปรึกษาคอยให้ความกระจ่างและประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ
และทำให้การทำงานใช้หลักเหตุและผลมากขึ้น มีการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย
และคนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
แต่ผลเสียของการใช้ที่ปรึกษาอาจมีการปีนเกลียวกันเนื่องจากความเห็นไม่ลงรอยกัน
และฝ่ายคณะที่ปรึกษาอาจท้อถอยในการทำงานได้
เพราะมีหน้าที่เพียงเสนอแนะแต่ไม่มีอำนาจสั่งการ
รูปที่
1.5 โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา
💬โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure)
โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร หมายถึง
การจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น
คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คณะกรรมการ อสมท.
และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น ผลดีจะช่วยขจัดปัญหา
การบริหารงานแบบผูกขาดของคนคนเดียว หรือการใช้แบบเผด็จการเข้ามาบริหารงาน
นอกจากนั้น การตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยบุคคลมาจากหลายๆฝ่ายจะทำให้ทุกคนเข้าใจปัญหาและก่อให้เกิดการยอมรับในปัญหาที่ฝ่ายอื่นเผชิญอยู่ทำให้การประสานงานเป็นไปได้ง่ายขึ้น
ข้อเสีย คือ
เกิดการสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุเนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการประชุมถกเถียงกัน
หรืออาจเกิดการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในระดับคณะกรรมการหรือยอมประนีประนอมกันเพื่อให้ได้ข้อยุติที่รวดเร็ว
ทำให้การตั้งคณะกรรมการไร้ผล
💬โครงสร้างองค์การงานอนุกรม
(Auxiliary)
โครงสร้างองค์การงานอนุกรม คือ หน่วยงานช่วย หรือเรียกว่า
หน่วยงานแม่บ้าน (House Keeping Agency)ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรกิจและอำนวยความสะดวก
เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายในเป็นต้น
รูปที่
1.6 โครงสร้างองค์การแบบอนุกรม
💬การจัดแผนกงาน
(Departmentation)
การจัดแผนกงาน หมายถึง
การรวมกลุ่มกิจกรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน
โดยการรวมกิจกรรมที่คล้ายกันและเหมาะสมที่จะนำมาปฏิบัติ
ในกลุ่มเดียวกันเข้าไว้ด้วยกันเป็นกลุ่ม แผนก หรือหน่วยงาน
หลักเกณฑ์พื้นฐานที่จะใช้สำหรับการจัดแผนกงาน ดังนี้
💬การจัดแผนกงานตามหน้าที่ (Department by Function)
การจัดแผนกงานตามหน้าที่นี้
เป็นการจัดองค์การที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
และหน้าที่หลักส่วนใหญ่ที่แผนกต่างๆ จะมีก็คือ หน้าที่ทางด้านการผลิต
การขายและการเงิน ต่อไปนี้
รูปที่
1.7 การจัดแผนกงานตามหน้าที่
💬ข้อดีของการจัดแผนกงานตามหน้าที่
(1) เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กในระยะเริ่มแรก
(2) เป็นการจัดที่ถูกต้องตามเหตุผลในเรื่องของหน้าที่หลัก
(3) เมื่อเกิดปัญหาขึ้นระหว่างปฏิบัติงานผู้บริหารในแต่ละหน้าที่ก็สามารถทำการประสานงานให้ทุกอย่างเป็นไปโดยสอดคล้องกัน
(4) ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของการแบ่งอาชีพตามความถนัด
💬ข้อเสียของการจัดแผนกงานตามหน้าที่
(1) ไม่เหมาะกับธุรกิจที่มีการขยายตัว
(2) การทำงานของทุกกลุ่มไม่สามารถเน้นถึงวัตถุประสงค์ขององค์การโดยส่วนรวมได้
(3) การประสานงานติดต่อระหว่างหน้าที่ต่างๆ
เป็นไปได้ยาก
(4) ไม่เปิดโอกาสให้มีการฝึกฝนตัวผู้บริหารในระดับรองลงมา
และไม่มีโอกาสเรียนรู้งานของส่วนต่างๆ
💬การจัดแผนกงานตามประเภทผลิตภัณฑ์
(Department by Product)
การจัดแผนกแบบนี้มักจะใช้ในการจัดแผนกงานขององค์การธุรกิจขนาดใหญ่มีกระบวนการในการปฏิบัติงานซับซ้อนองค์การธุรกิจผลิตสินค้าหลายอย่างถ้าจะใช้การจัดแผนกงานตามหน้าที่ก็จะทำให้แต่ละแผนกมีงานมากเกินไป
การดูแลผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างอาจดูแลไม่ทั่วถึง การขยายงานก็จะมีปัญหาอย่างมากทำให้องค์การธุรกิจขาดความคล่องตัวในการดำเนินงานและเสียโอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์กับองค์การได้
รูปที่
1.8 การจัดแผนกงานตามประเภทผลิตภัณฑ์
💬ข้อดีของการจัดแผนงานตามผลิตภัณฑ์
(1) เหมาะสมกับองค์การที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
(2)ช่วยให้ผู้บริหารสูงสุดสามารถมอบหมายอำนาจหน้าที่ในการทำงานตามหน้าที่ต่างให้กับผู้บริหารของหน่วยได้
(3)ช่วยให้ประเภทสินค้าต่างๆ ได้รับความสนใจเต็มที่
(4)ช่วยให้ผู้ทำงานในหน้าที่ต่างๆมีโอกาสฝึกฝนความรู้ความสามารถของตนในส่วนที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างได้อย่างดี
💬ข้อเสียของการจัดแผนกงานตามผลิตภัณฑ์
(1) เกิดปัญหาในเรื่องของการประสานงานในองค์การ
(2) หน่วยต่างๆ ที่แบ่งแยกตามผลิตภัณฑ์มีอำนาจมากเกินไป
💬การจัดแผนกงานตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
(Department by Territory)
การจัดแผนกโดยแบ่งตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หรืออาณาเขตนี้โดยคำนึงถึงสภาพทางภูมิศาสตร์หรือทำเลที่ตั้งที่กิจการจะต้องเข้าไปดำเนินการในพื้นที่นั้นๆ
เป็นสำคัญ และจะถูกนำมาใช้จัดแผนกงานสำหรับองค์การธุรกิจ
ที่อาณาเขตการขายกว้างขวางและธุรกิจอยู่ในสภาวะที่มีการแข่งขันสูง
รูปที่
1.9 การจัดแผนกงานตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
ข้อดีของการจัดแผนกงานตามพื้นที่ภูมิศาสตร์
(1) ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการ
ทั้งทางด้านการผลิตและการขายรวมทั้งค่าขนส่ง
(2) แก้ไขปัญหาในเรื่องของการติดต่อภายในบริษัท
(3) ช่วยให้มีการฝึกฝนและพัฒนาตัวผู้บริหารใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี
(4)
ช่วยให้ทราบถึงความต้องการของท้องถิ่นได้ดีกว่า
จึงเกิดจุดแข็งทางการตลาดได้
ข้อเสียของการจัดแผนกงานตามพื้นที่ภูมิศาสตร์
(1)
ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในเรื่องของการประสานงานและการคมนาคม
เกิดปัญหาเรื่องของกาประสานงานในองค์การ
(2)
หน่วยงานต่างๆ ที่แบ่งแยกตามพื้นที่อาจจะมีอำนาจมากเกินไป
(3)
ขาดโอกาสฝึกความชำนาญเฉพาะด้านตามอาชีพเฉพาะอย่าง
💬การจัดแผนกงานตามกระบวนการผลิต
(Department by Process)
การแบ่งกิจกรรมออกเป็นกลุ่มตามขั้นตอน
กระบวนการผลิต หรือกระแสการไหลของงาน เช่น
กิจการหนังสือพิมพ์อาจจะมีการจัดแผนกศิลป์ทำหน้าที่ออกแบบรูปเล่ม แบบหน้าโฆษณา
แบบตัวอักษร แผนกพิมพ์ แผนกคลังสินค้า แผนกจัดส่งสินค้า
ฯลฯ
รูปที่
1.10 การจัดแผนกงานตามกระบวนการผลิต
💬ข้อดีของการจัดแผนกงานตามกระบวนการผลิต
(1) ช่วยให้เกิดผลดีเกี่ยวกับการแบ่งการกันทำตามความถนัด
(2) สะดวกและง่ายที่จะนำมาใช้ในระดับต่ำขององค์การ
💬ข้อเสียของการจัดแผนกงานตามกระบวนการผลิต
คือ การประสานงานระหว่างแผนกทำได้ยาก
💬การจัดแผนกงานตามลูกค้า
(Departmental by Customer)
การจัดแผนกงานตามลูกค้าเป็นวิธีจัดแผนกงานอีกอย่างหนึ่งที่องค์การธุรกิจจะให้ความสำคัญแก่กลุ่มลูกค้า
เพราะสินค้าที่องค์การผลิตออกมานั้นอาจตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแตกต่างกัน
เนื่องจากพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่จะซื้อสินค้านั้นแตกต่างกัน
รูปที่
1.11 การจัดแผนกงานตามลูกค้า
💬ข้อดีของการจัดแผนกงานตามลูกค้า
(1) ช่วยให้สามารถสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่างๆ
ได้ดี
(2) เป็นการพัฒนาให้มีผู้เชี่ยวชาญและความชำนาญในการขายสินค้าให้กับกลุ่มลูกค้า
💬ข้อเสียของการจัดแผนกงานตามลูกค้า
(1) การประสานงานของแต่ละหน่วยงานจะเกิดขึ้นได้ยาก
เพราะต่างฝ่ายต่างแข่งขันกัน
(2) การจัดแบ่งกลุ่มผู้บริโภคอาจทำได้ยาก หากบางรายประกอบธุรกิจหลายประเภท
(3) หากมีการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มของลูกค้าอาจจะทำให้การทำงานของบางแผนกน้อยลงไปหรือไม่มีงานทำเลยก็ได้
💬อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
(Authority and Responsibility)
ในการจัดองค์การ มีการแบ่งงานกันตามหน้าที่โดยผู้บริหารที่มีอำนาจได้มอบหมายให้
และทุกคนรู้จักงานและหน้าที่ของตนเอง ปฏิบัติงานภายในขอบเขตที่มอบหมาย
การทำงานก็จะสัมฤทธิ์ผล
อำนาจหน้าที่ (Authority ) หมายถึง
สิทธิอันชอบธรรมที่ได้รับมอบหมายมาให้สั่งบุคคลอื่นปฏิบัติตามที่ตนต้องการได้
ส่วนใหญ่แล้วผู้บริหารระดับสูงจะมีการมอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาระดับต่อไปเมื่อมีการสั่งงานเพื่อให้บุคคลนั้นสามารถปฏิบัติงาน
ส่วนมากแล้วอำนาจหน้าที่จะต้องมีอำนาจในการสั่งการและการตัดสินใจควบคู่กันไปด้วย
อำนาจหน้าที่เป็นอำนาจที่บุคคลผู้มีอยู่ได้รับมอบหมายมาโดยถูกต้องตามกฎหมาย
และขณะเดียวกันก็มีสิทธิให้รางวัลและลงโทษผู้ที่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่นั้นได้
อำนาจหน้าที่ (Authority) แตกต่างจากอำนาจ
(Power) คือ
อำนาจหน้าที่เป็นสิทธิที่ได้รับมอบหมายมาโดยถูกต้องตามกฎหมาย
แต่อำนาจเป็นสิ่งที่บุคคลนั้นสร้างขึ้นมาเองและทำให้บุคคลอื่นยอมรับเพื่อที่จะปฏิบัติตาม
อำนาจเกิดในด้านบวกหรือด้านลบก็ได้
ความรับผิดชอบ (Responsibility) คือ เป็นภาระผูกผันของบุคคลในการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งโดยบุคคลต้องรับผิดชอบในการทำงานเพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย
ซึ่งในองค์การที่มีการวางโครงสร้างแบบเป็นทางการจะมีการกำหนดความรับผิดชอบของบุคคลที่ทำหน้าที่ในกิจกรรมต่างๆ
อย่างชัดเจนและให้อำนาจหน้าที่ (Authority) แก่ผู้ปฏิบัติงานอย่างเหมาะสม
เพื่อที่จะสามารถปฏิบัติงานได้ด้วยดี
อย่างไรก็ตามปัญหาความสมดุลระหว่างความรับผิดชอบและอำนาจหน้าที่ก็มีมากขึ้นในขณะที่องค์การขยายใหญ่ขึ้น
เนื่องจากผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีขอบเขตของอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในส่วนของตนเพิ่มขึ้นด้วยจึงมีความสับสนในเรื่องของงาน
ตลอดจนปัญหาของตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องในการจัดแบ่งความรับผิดชอบในกิจกรรมต่างๆ
ขององค์การนั้น
💬การมอบหมายงาน
(Delegation)
💬ความหมายของการมอบหมายงาน
การมอบหมายงาน หมายถึง
การที่ผู้บังคับบัญชาได้กำหนดความรับผิดชอบและอำนาจหน้าที่ (Assignment
of Responsibility and Authority) หรือเป็นการกระจายงานในหน้าที่
ความรับผิดชอบ (Responsibility) และให้อำนาจในการตัดสินใจ (Authority)
ภายในขอบเขตที่กำหนดให้ผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัติ
รูปที่ 1.12
การมอบหมายงาน
การมอบหมายงาน
เป็นลักษณะการมอบหมายงานบางส่วนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติเป็นการแบ่งเบาภาระงานของผู้บังคับบัญชา
ในขณะเดียวกันเป็นการเพิ่มภาระผูกพันแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
💬ขั้นตอนการมอบหมายงาน
การมอบหมายงานมีส่วนประกอบ 3 ขั้นตอน
คือ (William H Newman)
(1) ผู้บริหารกำหนดภารกิจหน้าที่ให้แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
(2) ให้อำนาจหน้าที่ สิทธิหน้าที่
และทรัพยากรตามความจำเป็น
(3) พยายามสร้างความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นในตัวผู้ใต้บังคับบัญชา
💬ประเภทของการมอบหมายงาน
การมอบหมายงาน
ต้องมอบหมายให้ผู้ที่มีความสามารถ มีความตั้งใจทำงาน
และรับผิดชอบรู้เป้าหมายของงานที่จะทำ ต้องพิจารณาว่า
ควรมอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาในลักษณะใด
💬การมอบหมายงานมี
2 ประเภทคือ
1. การมอบหมายงานประจำ
ผู้ที่มาทำงานใหม่แต่ละหน่วยงานทุกคนจะได้รับการมอบหมายงาน เช่น
พนักงานใหม่ของธนาคาร จะได้รับมอบงาน คือ รับเงิน ฝากเงิน ลงบัญชี หาเงินฝาก
พิมพ์จดหมาย
รับโทรศัพท์
เป็นต้น จัดเป็นการตัดสินใจเพียงเล็กน้อย
ซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่างทำได้หากผู้บริหารระดับสูงเชื่อมั่นว่า
ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถทำงานให้สำเร็จได้
อาจมอบหมายหน้าที่เพิ่มขึ้นหากทำได้ดีก็มอบหมายให้ทำเป็นประจำ ถ้าทำงานล้มเหลวหรือทำได้ไม่ดี
ก็จะพิจารณาเปลี่ยนแปลงหน้าที่ตามความถนัดของพนักงาน
2. การมอบหมายงานชั่วคราว
เป็นการมอบหมายงานเฉพาะกิจหรืองานพิเศษ เมื่อเสร็จภารกิจก็หมดภาระหน้าที่
💬ประโยชน์ของการมอบหมายงาน
1.
ให้ผู้บริหารมีเวลามากขึ้น
และประหยัดเวลาในการทำงานโดยสามารถนำเวลาไปทำกิจกรรมงานอื่นๆ ได้ เช่น
การแก้ปัญหางาน หรือคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่
2.
เป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานได้ใช้ความรู้ความสามารถในการทำงานซึ่งถือว่า
เป็นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลทางหนึ่ง หรือทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของคนในองค์การ
3.
เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อการเป็นหัวหน้างานในอนาคตซึ่งถือว่าอาจเป็นการประเมินศักยภาพของเขาไปด้วย
หรือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทีมงาน เนื่องจากได้เรียนรู้ใหม่ๆ
เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตในอนาคต
4.
การเรียนรู้ที่เกิดจากการได้รับมอบหมายให้ทำงานร่วมกับหน่วยงานหรือทีมงานอื่นทำให้เกิดการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน
💬ข้อควรพิจารราในการมอบหมายงาน
แม้การมอบหมายงานจะมีประโยชน์แต่ควรคำนึงถึงปัจจัยบางประการที่สำคัญกับความสำเร็จในงานที่มอบหมาย
ได้แก่
1. ใครเหมาะสมกับงานที่จะรับมอบหมาย กล่าวคือ
ต้องใส่ใจและคำนึงว่าควรเลือกผู้ที่เหมาะสมมารับผิดชอบงานเพื่อประกันความสำเร็จ
และลดความเสี่ยง ซึ่งคำที่คุ้นเคยกัน คือ Put the right man to the right
job นั่นเอง
2.
คำนึงถึงหลักการทำงานเป็นทีม
งานที่มอบหมายบางงานต้องมีผู้ปฏิบัติร่วมกันหลายคนควรพิจารณาผู้ที่สามารถทำงานร่วมกันได้
3.
การติดตามและประเมินผลเป็นสิ่งที่สำคัญ
เพราะเป็นการลดความเสี่ยงหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากผู้ได้รับมอบหมายมีความสามารถไม่เพียงพอ
ไม่ตั้งใจ หรือไม่มีความรับผิดชอบ
💬ขั้นตอนการมอบหมายงาน
1.
กำหนดงานและวัตถุประสงค์ในการมอบหมายงาน
ต้องพิจารณาให้ดีเรื่องความเหมาะสม งานบางอย่างเกี่ยวข้องกับความลับขององค์การ
หรือสิ่งที่เป็นงานเชิงนโยบายที่ต้องอาศัยการตัดสินใจและความรับผิดชอบสูง
ก็คงไม่อาจมอบหมายได้ แต่งานที่เป็นงานประจำ (Routine) ก็คงมอบหมายได้
อีกทั้งเมื่อเลือกงานแล้ว
ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ในการมอบหมายให้ชัดว่าต้องการให้ลูกน้องพัฒนาตนเอง
หรือเพื่อประเมินศักยภาพเพื่อเตรียมความพร้อม
2. กำหนดขอบเขตหน้าที่และอำนาจตัดสินใจ
การตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเงินหรือกระทบภาพลักษณ์ (Image) ขององค์การหรือหน่วยงานต้องพิจารณาว่าผู้รับมอบหมายงานจะมีอำนาจตัดสินใจได้หรือไม่
หรืออาจต้องมีการปรึกษาหารือกันก่อนที่จะดำเนินงาน
3.
พิจารณาบุคคลที่เหมาะสม
โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการมอบหมายงานเป็นหลักในการเลือกผู้ที่มามอบหมายงาน
หากเพื่อให้งานนั้นสำเร็จอย่างมีคุณภาพควรเลือกผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ
มีประสบการณ์ หากเพื่อพัฒนาลูกน้องต้องพิจารณาผู้ที่ยังไม่มีความสามารถในเรื่องนั้น
แต่หากจะต้องการประเมินศักยภาพความพร้อมต้องเลือกผู้ที่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งมนอนาคต
4.ทำความเข้าใจกับผู้รับมอบงาน
สิ่งที่สำคัญยิ่งในการมอบหมายงานคือต้องมีการทำความเข้าใจกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่จะมอบหมายงาน
กล่าวคือ ต้องสอบถามความพร้อม บอกวัตถุประสงค์ของการมอบหมายงาน
และแนะนำวิธีการขั้นตอน พร้อมทั้งให้ผู้จะรับมอบหมายได้เสนอแนวทางการดำเนินการ
แผนงานที่จะทำ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และนำไปสู่โอกาสของความสำเร็จ
5.
กระตุ้น จูงใจ ให้กำลังใจและสนับสนุน
เมื่อผู้รับมอบงานได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ทำความเข้าใจแล้ว
สิ่งที่สำคัญคือต้องมีการกระตุ้น ให้กำลังใจ และสนับสนุน เช่น อุปกรณ์เครื่องมือ
ความสะดวก และการชี้แนะหรือให้คำปรึกษาเป็นระยะๆ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ
และความสัมพันธ์อันดี
6. ติดตามและประเมินผลงาน
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการมอบหมายงาน ที่ต้องติดตามความคืบหน้าระหว่างดำเนินการ
ว่าเป็นไปตามแผนหรือแนวทางที่กำหนดไว้หรือไม่
มีปัญหาอุปสรรคอย่างไรเพื่อที่จะแก้ไข ปรับปรุงได้ทันก่อนจะเกิดความเสียหาย
เมื่องานสำเร็จก็ต้องประเมินว่าดีเพียงใด และควรมีการให้รางวัล เช่น
คำชมหรือของรางวัล
💬การมอบหมายงานที่ดี
1. ชี้แจงให้บุคคลหรือทีมงานผู้รับมอบหมายงานทราบเหตุผลในการได้รับมอบหมาย
2. สร้างทัศนคติที่ดีในการรับมอบหมายงาน
ว่านำไปสู่การพัฒนา ไม่ใช่เป็นการสร้างภาระ
3. มีการประเมินความรู้
ความสามารถของผู้รับมอบหมายงาน เพื่อนำไปสู่การใช้ความรู้นั้นๆ
4. สร้างความชัดเจนในหน้าที่ ขอบเขต
และอำนาจที่ได้รับมอบ เพื่อการทำงานนั้นๆ
5. กำหนดเป้าหมายและความคาดหวังที่ต้องการในผลลัพธ์ของงานอย่างชัดเจน
6. พิจารณาและจัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการทำงานให้บรรลุผล
7. กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานให้ชัดเจน
รวมทั้งบอกถึงผลดีและผลกระทบจากงาน
8. การเตรียมการต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำงาน
9. วิธีการติดตามงานและการให้ข้อมูลป้อนกลับ
เพื่อพัฒนาคุณภาพ ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการสร้างความสมดุล
ระหว่างการติดตามงานและการเปิดโอกาสให้ผู้รับมอบหมายงานได้ทำงานด้วยตนเองอย่างเต็มศักยภาพ
การมอบหมายงานที่ดี ต้องมีการวางแผน เตรียมการ
และดำเนินงานอย่างดี โดยต้องคำนึงไม่เฉพาะงานที่ได้มอบหมาย
แต่ต้องคำนึงทั้งความรู้ ความสามารถ และทักษะในการทำงานของผู้รับมอบหมายงานด้วย
รวมทั้งให้อำนาจการดำเนินงาน สนับสนุนทรัพยากรอย่างเต็มที่ และมีการติดตามผล
อันจะนำไปสู่การทำงานที่บรรลุเป้าหมายตามความต้องการ คือ “งานได้ผล
คนมีการพัฒนา องค์การเติบโตยั่งยืน”
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น